วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553

การพัฒนาการอ่านและการเขียนภาษาอังกฤษ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยแผนภูมิกราฟิก (บทที่ 1)

บทที่  1

บทนำ

ภูมิหลัง

                   ในสังคมโลกปัจจุบัน  การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศเป็นสิ่งจำเป็น  ทั้งนี้เพื่อประโยชน์
ในการติดต่อสื่อสาร  การศึกษา  การแสวงหาข้อมูลเพิ่มเติม  และเพื่อการประกอบอาชีพ  ตลอดจนเพื่อให้สามารถนำประเทศไปสู่การแข่งขันด้านเศรษฐกิจ  เข้าใจความแตกต่างทางการเมือง

และวัฒนธรรมในฐานะที่เป็นพลเมืองโลกยุคโลกาภิวัฒน์  การเรียนภาษาต่างประเทศจะช่วยให้ผู้เรียนมีวิสัยทัศน์  กว้างไกล  สามารถสื่อสารกับชาวต่างประเทศได้อย่างถูกต้องเหมาะสมและมั่นใจ  
มีเจตคติที่ดีต่อการใช้ภาษาและวัฒนธรรมต่างประเทศ  นอกจากนี้ยังมีความเข้าใจและภาคภูมิใจ
ในภาษาและวัฒนธรรมไทย  และสามารถถ่ายทอดวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ไทยไปสู่สังคมโลก  
(กรมวิชาการ.    2544  :  1)  ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการด้านต่าง    ของโลกยุคโลกาภิวัฒน์ 
มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจของทุกประเทศรวมทั้งประเทศไทยด้วย  จึงมีความจำเป็นที่ต้องปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาของชาติ  ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศเพื่อสร้างคนไทยให้เป็นคนดี  มีปัญญา  มีความสุข  มีศักยภาพพร้อม
ที่จะแข่งขันและร่วมมืออย่างสร้างสรรค์ในเวทีโลก  หลักสูตรการศึกษาของประเทศที่ใช้อยู่
โดยกรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการได้ติดตามผล  และดำเนินการศึกษาเพื่อการพัฒนาหลักสูตรตลอดมา  ผลการศึกษาพบว่า  หลักสูตรที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนานกว่า 
10  ปี  มีข้อจำกัดอยู่หลายประการไม่สามารถส่งเสริมให้คนไทยก้าวไปสู่สังคมความรู้ได้ทันการณ์  (กระทรวงศึกษาธิการ.    2544  :  1)
              ด้วยเหตุผลดังกล่าว  กรมวิชาการ  กระทรวงศึกษาธิการจึงกำหนดให้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศเป็นกลุ่มสาระการเรียนรู้พื้นฐานหนึ่งใน  8  กลุ่มสาระการเรียนรู้ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน  ปีพุทธศักราช  2544  โดยในการจัดการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศ
ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานมีความคาดหวังว่า  เมื่อผู้เรียนเรียนภาษาต่างประเทศ  อย่างต่อเนื่อง  ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาถึงชั้นมัธยมศึกษา  ผู้เรียนจะมีเจตคติที่ดีต่อภาษาต่างประเทศ  สามารถใช้ภาษาต่างประเทศ  สื่อสารในสถานการณ์ต่าง    แสวงหาความรู้  ประกอบอาชีพ  และศึกษาต่อ
ในระดับสูงขึ้น  รวมทั้งมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องราววัฒนธรรมอันหลากหลายของประชาคมโลก และสามารถถ่ายทอดความคิดและวัฒนธรรมไทยไปยังสังคมโลกได้อย่างสร้างสรรค์  โครงสร้าง
ของหลักสูตรภาษาต่างประเทศ  กำหนดตามระดับความสามารถทางภาษาและพัฒนาการของผู้เรียน
(Proficiency-Based)  ช่วงชั้นที่  3  (.1–3)  อยู่ในระดับ  (Developing  Level)  ซึ่งชั้นมัธยมศึกษาปีที่  3  เป็นกลุ่มเป้าหมายในการศึกษาครั้งนี้  โดยการจัดการเรียนการสอนในชั้นนี้  เน้นทักษะการฟัง  พูด  อ่านและเขียนเป็นสำคัญ  เป้าหมายและความคาดหวังที่สำคัญของการจัดการเรียนรู้ภาษา
ต่างประเทศในช่วงชั้นที่  3  (จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่  3)  ข้อที่  4  กล่าวว่า  อ่าน  เขียนข้อความ
ที่เป็นความเรียงและไม่เป็นความเรียง  ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ  ที่มีตัวเชื่อมข้อความ (Discourse  Markers)  (กรมวิชาการ.    2544  :  1–3)
                   การอ่านถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญอย่างหนึ่งในการแสวงหาความรู้  การอ่านช่วยให้มนุษย์ฉลาดสามารถเพิ่มพูนความรู้ประสบการณ์ต่าง   ที่มีผลต่อ  การพัฒนาการของมนุษย์ทั้งทางสติปัญญา  อารมณ์  และสังคม  การอ่านจึงเป็นทักษะที่จำเป็นต้องฝึกฝนให้นักเรียน  นักศึกษาสามารถนำทักษะเหล่านี้เป็นเครื่องมือในการเสาะแสวงหาความรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่ว่าจะเป็นการอ่านในภาษาแม่หรือการอ่านภาษาต่างประเทศ  (เสงี่ยม  โตรัตน์.    2524  :  1)  ซึ่งในปัจจุบันโอกาสที่เราจะได้เห็นและอ่านภาษาอังกฤษมีมากขึ้น  เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่กำลังพัฒนา  การรับเอาเทคโนโลยีและวิชาการใหม่    รวมทั้งเครื่องอุปโภคบริโภคจากต่างประเทศจึงเข้ามามีบทบาท
เป็นอย่างมากในชีวิตของคนไทย  ทักษะการอ่านจึงมีความสำคัญมากขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อ  
ทำสัญญา  ค้าขาย  หรือแม้แต่การอ่านฉลากสินค้าอุปโภคและบริโภคล้วนแต่ต้องอาศัยความเข้าใจ
ในการอ่านทั้งสิ้น  แต่เนื่องจากการอ่านเป็นทักษะที่ซับซ้อน  และต้องอาศัยการฝึกฝนเป็นอย่างดี เพราะการอ่านไม่ใช่แต่เพียงอ่านตัวอักษรเท่านั้น  แต่ต้องมีความเข้าใจด้วย  ดังนั้นทักษะการอ่าน
จึงจำเป็นต้องได้รับการฝึกฝนจากการเรียนในห้องเรียนจากครูผู้สอนจนชำนาญก่อนแล้วจึงไปฝึกเพิ่มเติมเองนอกห้องเรียน  และอีกทักษะหนึ่งจำเป็นอย่างมากในการเรียนภาษาอังกฤษก็คือ  ทักษะการเขียน  ซึ่งจะสังเกตได้ว่าทักษะการเขียนถูกจัดไว้ในลำดับสุดท้ายของทักษะทั้ง  4  เหตุที่เป็นเช่นนี้อาจกล่าวได้ว่า  เพราะการเขียนจัดเป็นทักษะที่ยากที่สุด  ต้องผ่านกระบวนการทางความคิด
หลายขั้นตอน  ไม่ว่าจะเป็นการรวบรวมความคิด การลำดับเรียบเรียงความคิด  การเลือกสารถ้อยคำถ่ายทอดออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรหรือข้อความที่สามารถสื่อความหมายได้ตรงกับความต้องการ  แม้ว่าทักษะการเขียนจะมีความยากในตัวเองดังที่กล่าวมาแล้ว  แต่ก็จำเป็นต้องมีการเรียน  การสอนทักษะเขียน  เนื่องจากการเขียนเป็นทักษะสำคัญ  และเอื้อประโยชน์ต่อผู้เรียนอย่างมากช่วยเสริมให้ผู้เรียนได้อ่าน  นอกจากนี้  การเขียนทำให้ผู้เรียนได้ฝึกการคิดอย่างมีระบบและสร้างสรรค์ 
เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ความนึกคิดและจินตนาการ  ซึ่งมีคุณค่าอย่างยิ่งต่อการเรียนรู้และ
การพัฒนาทางภาษา  (สุมิตรา  อังวัฒนกุล.    2540  :  149-163)
                   จากประสบการณ์การสอนภาษาอังกฤษของผู้วิจัยที่โรงเรียนเมืองสรวงวิทยา
อำเภอเมืองสรวง  จังหวัดร้อยเอ็ด  ที่เปิดทำการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่  1  
ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่  6  ปัญหาที่พบมากที่สุดในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ  ก็คือ  ปัญหาด้าน
การฟัง  การพูด  การอ่านและการเขียน  ทั้งนี้ในการเรียนการสอนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
ของโรงเรียนเมืองสรวงวิทยานั้น  ซึ่ง  การจัดการเรียนการสอนจะเน้นวิธีการสอนแบบไวยากรณ์
และแปล  (Grammar  Translation  Method)  โดยวิธีสอนแบบนี้จะเน้นทักษะการอ่านและการเขียน และครูมีบทบาทสำคัญมาก  นักเรียนเป็นเพียงผู้รับและปฏิบัติตามครูเท่านั้น  ซึ่งไม่สอดคล้อง
กับหลักสูตรการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญในการเรียนรู้  ส่งผลให้ทักษะการอ่านและการเขียนของนักเรียนโรงเรียนเมืองสรวงวิทยายังไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร  ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยจึงมีความสนใจในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาทักษะด้านการอ่านและการเขียนของชั้นมัธยมศึกษาปีที่  3  โดยใช้แผนภูมิกราฟิก  สาเหตุที่เลือกศึกษาในชั้นนี้  เนื่องจากผู้วิจัย
สอนในระดับนี้  จึงทำให้ทราบปัญหาในการจัดการเรียนการสอนภาษาที่สองเป็นอย่างดี  จึงสนใจ
ใช้แผนภูมิกราฟิกเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนของนักเรียน
                   จากสภาพการณ์ดังกล่าว  ผู้วิจัยตระหนักถึงความจำเป็น  และความสำคัญของการอ่าน
และการเขียน  จึงมีความต้องการที่จะปรับเปลี่ยนและพัฒนาวิธีสอนให้สอดคล้องกับหลักสูตร
และเพิ่มคุณภาพในการจัดการเรียนการสอนโดยเน้นทักษะการอ่านและการเขียนเป็นสำคัญ 
ซึ่งสอดคล้องกับ  กรมวิชาการในสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศสาระที่  1 
ภาษาเพื่อการสื่อสาร  มาตรฐาน   1.1   และมาตรฐาน  .  1.3  ที่บ่งชี้ว่า  ให้ผู้เรียนเข้าใจกระบวนการฟังและการอ่าน  สามารถตีความเรื่องที่จะฟังและอ่านจากสื่อประเภทต่าง   และนำความรู้ไปใช้อย่างมีวิจารณญาณ  เข้าใจกระบวนการพูด  การเขียน  และการสื่อสารและมีสุนทรียภาพ(กระทรวงศึกษาธิการ.    2544  :  20)  จากเหตุผลดังกล่าว  จึงทำให้ผู้วิจัยมีความสนใจในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่พัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนโดยใช้แผนภูมิกราฟิก  ซึ่งเป็นเทคนิคที่เหมาะสมกับการเรียนการสอนภาษาที่สองโดยเฉพาะทักษะการอ่านและการเขียน  แผนภูมิกราฟิกช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างความคิดรวบยอดในเรื่องว่าอะไรเป็นความคิดที่สำคัญที่สุด  และที่สำคัญรองลงมาและความคิดนั้น   มีความสัมพันธ์กันแบบใด  เช่น  ในแง่ของการเปรียบเทียบแบ่งประเภท  หรือเป็นการบรรยาย  ยิ่งไปกว่านั้น  การใช้แผนภูมิกราฟิกในกิจกรรมก่อนอ่าน  ขณะที่อ่าน  หรือหลังการอ่านนั้นทำให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องได้ดีขึ้น  การสอนนักเรียนโดยใช้แผนภูมิกราฟิกนี้  สามารถทำให้ผลการเรียนของนักเรียนในรัฐมิสซิสซิปปี้  ซึ่งมีผลการเรียนตกต่ำมากในปี  1986  คือ ด้านการอ่านมีนักเรียนสอบผ่านร้อยละ  77  และการเขียนร้อยละ  53  สามารถมีผลการเรียนดีขึ้นหลังจากได้รับการสอนอ่านและเขียนโดยใช้แผนภูมิกราฟิก  โดยมีนักเรียนสอบผ่านด้านการอ่าน
ร้อยละ  95  และด้านการเขียนร้อยละ  93  ในปีการศึกษา  1988  (วิสาข์  จัติวัตร์.    2543  :  145 - 146)  และทวีชัย  มงคลเคหา  (2542  :  บทคัดย่อ)  ได้ศึกษา  ผลการใช้กลวิธีการทำแผนผังสรุปโยงเรื่อง
ในการสอนทักษะอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ  ตามแนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารที่มีผล
ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทักษะการอ่านและพฤติกรรมการพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่  4  ผลการวิจัยพบว่า  นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะการอ่านจับใจความอยู่ในระดับสูง  เท่ากับ  75.70  และในด้านการวิเคราะห์เนื้อหาบทเรียนตามลักษณะโครงสร้างของเนื้อเรื่องอยู่ในระดับสูง  เท่ากับ  72.96  และมีพฤติกรรมการพัฒนาทักษะการอ่าน
ด้านความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมายและการให้ข้อเสนอแนะและความคิดเห็นในการสร้างแผนผังสรุปโยงเรื่องอยู่ในระดับสูงมาก  เท่ากับร้อยละ  90.93  และ  79.50  ตามลำดับ  ดังนั้น  ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่พัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่  3  โดยใช้  แผนภูมิกราฟิก

ความมุ่งหมายของการวิจัย

                   การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนภาษาอังกฤษ
โดยการใช้แผนภูมิกราฟิก  ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่  3  โรงเรียนเมืองสรวงวิทยา  อำเภอเมืองสรวง  จังหวัดร้อยเอ็ด

ความสำคัญของการวิจัย

                   1.  นักเรียนโรงเรียนเมืองสรวงวิทยา  ได้รับการพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนดีขึ้น
                   2.  ครูสอนภาษาอังกฤษ  ระดับมัธยมศึกษาได้แนวทางในการใช้แผนภูมิกราฟิก
เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนของนักเรียน

ขอบเขตของการวิจัย

                   การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนแบบร่วมมือ  (Collaborative  Classroom  Action  Research)  โดยมีขอบเขตการศึกษา  ดังนี้
                         1.  ประชากร  เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่  3  โรงเรียนเมืองสรวงวิทยา  สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาร้อยเอ็ด  เขต  2
                         2.  กลุ่มผู้ร่วมวิจัย
                                2.1  ผู้วิจัย
                                2.2  ผู้ร่วมวิจัย  ได้แก่  นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่  3/2  ปีการศึกษา  2549  ภาคเรียนที่  2  โรงเรียนเมืองสรวงวิทยา  สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาร้อยเอ็ด  เขต  2  จำนวน  41  คน
                                2.3  ผู้ให้ข้อมูล  เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่  3/2  ปีการศึกษา  2549  ภาคเรียนที่  2  โรงเรียนเมืองสรวงวิทยา  สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาร้อยเอ็ด  เขต  2  จำนวน  41  คน
                                2.4  ระยะเวลาที่ใช้การเก็บรวบรวมข้อมูล  ภาคเรียนที่  2  ปีการศึกษา  2549 
เริ่มดำเนินการระหว่างเดือน  มกราคม-กุมภาพันธ์  2550
                         3.  เนื้อหา
                                เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้  ผู้วิจัยได้ศึกษาสาระและมาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ  ผังมโนทัศน์  สาระการเรียนรู้แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษา
ต่างประเทศและผลการเรียนรู้คาดหวังระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่  3  เลือกหน่วย  (Unit)  และเรื่อง  (Topic)  ที่เหมาะสมกับทักษะอ่านเขียน  หลังจากนั้น  ผู้วิจัยได้คัดเลือกเนื้อหาจากแหล่งการเรียนรู้
ต่าง    ที่เหมาะสมสอดคล้องกับหน่วยการเรียนซึ่งผู้วิจัยได้เลือกหน่วยการเรียนรู้ต่อไปนี้
                                      1.  หน่วย  (Unit)  Places                               ผู้วิจัยเลือกมา  1  เรื่อง  (Topic)  คือ
                                           -   Tourist  Attraction                              จำนวน  1  แผน  1  ชั่วโมง
                                     2.  หน่วย  (Unit)  Environment  ผู้วิจัยเลือกมา  1  เรื่อง  (Topic)  คือ
                                           -   Good  Health                                       จำนวน  1  แผน  1  ชั่วโมง
                                     3.  หน่วย  (Unit)  Food  and  Drink           ผู้วิจัยเลือกมา  1  เรื่อง  (Topic)  คือ
                                            -   Food  For  Health                               จำนวน  1  แผน  1  ชั่วโมง
                                     4.  หน่วย  (Unit)  Transportation               ผู้วิจัยเลือกมา  1  เรื่อง  (Topic)  คือ
                                            -  BTS  Sky - train                   จำนวน  1  แผน  1  ชั่วโมง
                                     5.  หน่วย  (Unit)  Health  and  Welfare     ผู้วิจัยเลือกมา  1  เรื่อง  (Topic)  คือ
                                            -  The  Faulty  Kettle                               จำนวน  1  แผน  2  ชั่วโมง
                                      6.  หน่วย  (Unit)  Animal                             ผู้วิจัยเลือกมา  1  เรื่อง  (Topic)  คือ
                                            -   Deer  and  Tiger                  จำนวน  1  แผน  2  ชั่วโมง
                                      7.  หน่วย  (Unit)  Culture                             ผู้วิจัยเลือกมา  1  เรื่อง  (Topic)  คือ
                                            -  General  Information                          จำนวน  1  แผน  2  ชั่วโมง
                         4.  ระยะเวลาที่ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
                                ระยะเวลาที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล  เริ่มดำเนินการระหว่างเดือน  มกราคม ถึง  กุมภาพันธ์  2550  รวม  10  ชั่วโมง  เป็นเวลา  5  สัปดาห์

นิยามศัพท์เฉพาะ

                   ผู้วิจัยได้นิยามศัพท์เฉพาะไว้  ดังนี้
                         1.  การพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนภาษาอังกฤษ  หมายถึง  การใช้แผนภูมิกราฟิก  เพื่อให้สามารถแปลความ  ตีความ  สรุปความ  ขยายความ  ใช้ภาษาถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ 
สื่อความหมายให้คนอื่นเข้าใจได้  เรียงลำดับและจับใจความสำคัญของเรื่องที่อ่านและเขียนได้  สำหรับทักษะการเขียนเป็นกิจกรรมที่พัฒนาจากทักษะอ่านโดยครูออกแบบกิจกรรมให้ผู้เรียนเขียนแสดงความคิดเห็นต่อสิ่งที่อ่าน  เขียนแสดงความคล้ายคลึง  เขียนขยายความ  เขียนเรื่องจากโครงสร้างที่ครูกำหนดให้โดยใช้แผนภูมิกราฟิก
                         2.  การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนแบบมีส่วนร่วม  (Collaborative  Classroom  Action  Research)  หมายถึง  การใช้กระบวนการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนเพื่อปรับปรุงและพัฒนาทักษะ
การอ่านและทักษะการเขียน  ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่  3  โรงเรียนเมืองสรวงวิทยา 
อำเภอเมืองสรวง  จังหวัดร้อยเอ็ด  โดยใช้  แผนภูมิกราฟิก  ซึ่งในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ใช้กระบวนการวิจัยปฏิบัติการรูปแบบของ  Kemmis  and  Mc  Taggart  ประกอบไปด้วย  2  ส่วน
ส่วนแรก  คือส่วนสำรวจ  ปัญหาก่อนที่จะลงมือปฏิบัติการ  ผู้วิจัยและผู้ร่วมวิจัยได้ทำการสำรวจปัญหา  หลังจากนั้นคิดหาวิธีแก้ปัญหา  และนำเสนอวิธีการแก้ปัญหาต่อนักเรียนเพื่อขอความเห็น  และทำข้อตกลงร่วมกัน  ส่วนที่  2  คือ  ส่วนปฏิบัติการวิจัยและผู้ร่วมวิจัยดำเนินการปฏิบัติการ
โดยออกแบบการปฏิบัติการจำนวน  5  วงจร  ในการดำเนินการปฏิบัติในแต่ละวงจร  มี  4  ขั้นตอน ดังนี้
                                2.1  ขั้นวางแผน  (Plan)  ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างแผนการเรียนรู้  สื่ออุปกรณ์
การสอนและแบบประเมินตามสภาพจริงเพื่อประเมินทักษะการอ่านและการเขียน
                                2.2  ขั้นทดลองปฏิบัติ  (Action)  เป็นขั้นตอนที่ลงมือดำเนินการสอนตามแผน
การเรียนรู้ที่เตรียมไว้
                                2.3  ขั้นสังเกต  (Observation)  ขั้นนี้ผู้วิจัยใช้เทคนิคการเก็บรวมรวมข้อมูลทั้งหมด
ที่กำหนดไว้ได้แก่  การสังเกตแบบไม่มีโครงสร้าง  (Non – formal  Observation)  โดยผู้วิจัยทำการสังเกต  พฤติกรรมการเรียนของนักเรียน  สภาพสิ่งแวดล้อมของห้องเรียนซึ่งจะดำเนินการขณะทำการสอน  การเขียนอนุทิน  (Journal)  ของนักเรียนเป็นการเขียนบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับตัวนักเรียนระหว่างการเรียน  ตลอดทั้งการเขียนแสดงความรู้สึกต่อกิจกรรมการเรียนการสอน  โดยใช้แผนภูมิกราฟิก  โดยบันทึกเมื่อเสร็จสิ้นการเรียนในแต่ละครั้ง  และการสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง (Unstructured  Interview)  เป็นการสุ่มสัมภาษณ์ความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการเรียนภาษาอังกฤษโดยใช้แผนภูมิกราฟิกซึ่งการเก็บรวมรวบข้อมูลในครั้งนี้ผู้วิจัยและนักเรียนจะเป็นทั้งผู้ให้ข้อมูล
ผู้บันทึกข้อมูลและผู้เก็บข้อมูล  ในขณะเดียวกัน
                                2.4  ขั้นสะท้อนผลการปฏิบัติ  (Reflect)  ขั้นนี้เป็นการนำข้อมูลที่ได้จากขั้นสังเกตแบบไม่มีโครงสร้างของผู้วิจัย  การเขียนอนุทิน  และการสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง  มาร่วมกันวิเคราะห์  วิจารณ์  เพื่อให้ได้ข้อเสนอแนะและแนวทางในการศึกษาพัฒนาทักษะการอ่านและเขียนภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่  3  และเพื่อปรับปรุงคุณภาพของแผนการเรียนรู้
ให้สอดคล้องกับสไตล์การเรียนรู้ของผู้เรียนในวงจรต่อไป
                         3.  แผนภูมิกราฟิก  หมายถึง  การนำเสนอความคิด  ความรู้  และข้อมูลที่เป็นข้อความ  หรือรูปภาพ  ให้สัมพันธ์กันเป็นรูปแบบมิติสัมพันธ์ที่เหมาะสม  เพื่อให้เกิดความชัดเจน  กะทัดรัด รัดกุม  และเข้าใจง่าย  ซึ่งผู้วิจัยได้นำมาใช้ในการศึกษาครั้งนี้  9  รูปแบบคือ
                                3.1  แผนภูมิกราฟิกที่ใช้สำหรับการอ่านผู้ศึกษานำมาใช้  5  รูปแบบ  ได้แก่
                                      3.1.1  แผนภูมิเรียงลำดับขั้นตอน  (The  Ranking  Ladder)  หมายถึง  แผนภูมิที่ใช้ในการนำเสนอ  หรือสรุปข้อมูลเป็นลำดับขั้นตอน  จากขั้นต้นถึงขั้นสุดท้าย  มองเห็นระดับขั้นของการพัฒนาที่ต่อเนื่องกัน
                                      3.1.2  แผนภูมิความคิด  (The  Mind  Map)  หมายถึง  แผนภูมิ  ที่ช่วยให้เห็นความสัมพันธ์ของข้อคิดเห็นได้ชัดเจน  ช่วยในการรวบรวมสรุปข้อคิดเห็นที่สัมพันธ์กัน
                                      3.1.3  แผนภูมิแมงมุม  (The  Spider  Diagram)  หมายถึง  แผนภูมิที่ใช้แสดงถึงใจความสำคัญ  ขาของแมงมุมซึ่งเป็นเส้นนอนเป็นข้อความที่มาสนับสนุนใจความสำคัญ  ส่วนเส้นทแยงแสดงถึงรายละเอียดปลีกย่อย
                                      3.1.4  แผนภูมิความหมายเรื่องเล่าเรียงตามลำดับเหตุการณ์  (Narrative  sequential organization  map)  แผนภูมิความหมายชนิดแสดงถึงโครงสร้างของเรื่องเล่าซึ่งเกิดขึ้น  ตามลำดับเวลา
                                      3.1.5  แผนภูมิความหมายของเรื่องจำแนกประเภท  (Classification)  แผนภูมิชนิดนี้มักใช้กับเรื่องเชิงความเรียง หรือสิ่งที่ต้องการแบ่งประเภท  ชนิด  หรือคุณสมบัติของความคิด
รวบยอดนั้น   โดยมีลูกศรชี้ลงล่าง
                                3.2  แผนภูมิกราฟิกที่ใช้สำหรับการเขียนผู้วิจัยนำมาใช้  4  รูปแบบ  ได้แก่
                                      3.2.1  แผนภูมิความหมายเรื่องเชิงบรรยาย  (Descriptive  Map)  ใช้บรรยาย
ลักษณะต่าง    ของแก่นเรื่องว่ามีรายละเอียด  หรือองค์ประกอบอะไรบ้าง  อาจบรรยายถึงบุคคลสถานที่  หรือสิ่งของ  ซึ่งเกี่ยวข้องกับแก่นเรื่อง  หรือหัวข้อสำคัญ
                                      3.2.2  แผนภูมิแสดงเหตุและผล  (Cause  and  Effect)  เป็นแผนภูมิที่ใช้กับข้อมูลที่เป็นเหตุเป็นผลแก่กันและกัน
                                      3.2.3  แผนภูมิเล่าเรื่อง  (Story  Map)  เป็นแผนภูมิที่ใช้ในการบรรยายเรื่อง
เพื่อบอกรายละเอียด
                                      3.2.4  แผนภูมิเปรียบเทียบและสิ่งตรงกันข้าม  (Compare  Contrast  Map)  
เป็นแผนภูมิที่ใช้เปรียบเทียบข้อมูลเพื่อให้เห็นความแตกต่างและตรงกันข้าม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น